Custom Search

ตลาดเก่าสามชุก ทุกวันนี้เต็มไปด้วยสีสัน

ตลาดเก่าสามชุก ทุกวันนี้เต็มไปด้วยสีสัน


สามชุก

ตลาดเก่าสามชุก ทุกวันนี้เต็มไปด้วยสีสัน (อ.ส.ท.)

โดย ปิยะฤทัย ปิโยพีระพงศ์

8 โมงเช้า ฉันเดินทางออกจากบ้านสวน ที่พักร่มรื่นในเขตอำเภอสามชุก ที่นอกจากบ้านพักแต่ละหลังจะเป็นส่วนตัวและให้อารมณ์สบายๆ เหมือนอยู่บ้านแล้ว อาหารยังอร่อยมากจนถึงขนาดเพื่อนร่วมทางบอกว่า "วันหลังขับรถมากินข้าวที่นี่กันเถอะ" เลยที่เดียว แม้ว่าบ้านสวนจะตั้งอยู่ลึกจากทางหลวงหมายเลข 340 เข้ามาในทุ่งนาค่อนข้างลึก แต่บรรยากาศและการต้อนรับอย่างอบอุ่นของคุณวารี ถึกเจริญ ผู้เป็นเจ้าบ้าน ก็ทำให้ระยะทางนั้นใกล้กว่าความเป็นจริง

จากบ้านสวนไม่ถึง 15 นาที ฉันก็มาถึง สามชุก หรือ สามชุก ตลาดร้อยปี จังหวัดสุพรรณบุรี แม้วันนี้ไม่มีเรือจอดเรียงราย แต่ทั่วตลาดสามชุกก็พลุกพล่านด้วยผู้คนตลอด 5 ซอย ที่ตั้งขนานกันมีสารพันร้านรวงเปิดขายของ ส่วนมากเป็นข้าวของย้อนยุคสามชุกเติบโตเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มตัวแล้ว ณ วันนี้


สามชุก

ต่ำจากป้าย "สามชุก ตลาดร้อยปี" มีผู้คนเดินขวักไขว่ในแสงสายของวัน แน่นอนว่าที่นั่งในร้านกาแฟท่าเรือส่งย่อมถูกจับจองด้วยสภากาแฟรุ่นเก๋าของสามชุก กับอีกบางโต๊ะตกเป็นของนักท่องเที่ยวต่างถิ่น นี่คือหนึ่งในร้านดังที่ใครมาถึงสามชุกแล้วมักไม่พลาด

เมื่อโต๊ะยังไม่ว่าง ฉันจึงเดินเลยเข้าไปด้านในตามถนนเลียบนที ที่มีร้านค้าตั้งเรียงเป็นแถวทั้งซ้ายและขวา ร้านขายของกินที่ตั้งเรียงรายสองฝั่งล้วนชวนให้อยากหยิบเงินออกมาจ่าย ไม่ว่าจะเป็นทองม้วนงาดำ ปลาสลิดพี่จิต น้ำพริกแม่กิมลั้ง ฯลฯ

มาถึงตลาดสามชุก สถานที่ที่ต้องแวะเข้าไปทำความรู้จักชุมชนนี้ก่อนที่อื่นใดคือ พิพิธภัณฑ์บ้านขุนจำนงจีนารักษ์ ซึ่งดัดแปลงห้องแถวครึ่งตึกครึ่งไม้ของขุนจำนงฯ คหบดีชาวจีนในสมัยรัชการที่ 6 มาจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ ชั้นล่างเปิดประตูบานพับทับซ้อนจนสุดขอบประตู เผยให้เห็นพื้นกระเบื้องลายคลาสสิก โต๊ะตัวใหญ่วางโมเดลตลาดสามชุกโดย มีกล่องกระจกครอบคลุมไว้ และภาพนิทรรศการเต็มผนัง ส่วนชั้น 2 นั้นเป็นที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้ของขุนจำนงฯ และส่วนแสดงห้องนอนของคหบดีผู้มั่งคั่งของสามชุกสำหรับชั้น 3 เป็นส่วนของห้องจัดนิทรรศการหมุนเวียน


สามชุก

ออกจากพิพิธภัณฑ์ฯ แล้วเดินต่อไปในซอย 2 ยิ่งสายบรรยากาศก็ยิ่งคึกคัก หันไปหันมาก็เจอโรงแรมอุดมโชค ซึ่งอีกไม่นานนี้จะเปิดให้เข้าพักรับบรรยากาศของตลาดร้อยปีกันแบบวันชนวัน ถัดไปอีกนิดเดียว ร้านมาหาสนุกคือสีสันสดใสที่ย้อยวัยวันให้คนอายุ 30 ขึ้นไป ได้อมยิ้มกับของเล่นสีฉูดฉาด ขณะเดียวกัน เด็กๆ ก็ให้ความสนใจกับของเล่นพลาสติกสารพัดสารพันอันละไม่กี่บาทในร้านนี้


สามชุก

แค่ซอย 2 ซอยเดียวก็เดินเพลิน ไหนจะยังมีร้านขายข้าวของเครื่องใช้แบบเก่าที่เห็นแล้วคิดถึงวัยเด็ก เดินกันจนหิวมาถึงสุดซอยที่ตัดกับถนนมิตรสัมพันธ์ ก็เจอร้านยินดี ข้าวห่อใบบัว อยู่ตรงหัวมุมพอดี๊พอดี ห่อใบหัวที่ถูกมีดกรีดเปิดออกให้เห็นไข่แดงมันฉ่ำ แครอตส้มสด เม็ดบัวเหลืองนวล เห็นหอมสีน้ำตาลหม่น โปะอยู่บนข้านอบที่ส่งไอร้อนพร้อมกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย จึงไม่ต้องแปลกใจเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวยืนออรอซื้ออยู่หน้าร้านจนแน่น เอี้ยด


สามชุก

ยังมีอีก 4 ซอยที่รวมชีวิตชีวาของตลาดเก่าสามชุกไว้ อย่างน่าเที่ยว เดินกันได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ อย่างซอย 3 มีร้านฮกอันโอสถ ร้านขายยาแผนโบราณ และร้านศิลป์ธรรมชาติ ที่รับถ่ายรูปย้อนยุก ส่วนซอย 5 ไปแล้วต้องไม่พลาดร้านไพศาลสมบัติที่เต็มไปด้วยของเก่า พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านที่ร้านพี่มนูญ ร้านทองมีชัยขายทองโบราณ พอเลยไปถึงซอย 5 ซึ่งเดิมเคยเป็นท่าถ่าน มีโรงตีเหล็ก ช.เจริญพานิช ที่น่าเดินไปดูบรรยากาศเก่าๆ

ยังไม่ทันได้เดินทั่วตลาด สายตาก็ปราดไปเห็นใบปลิวชวนล่องเรือเอี้ยมจุ๊น ชมบรรยากาศริมน้ำท่าจีน ฉันรีบชักชวนพรรคพวกไปลงเรือที่ท่าหน้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ราคาแค่คนละ 59 บาทเท่านั้นเอง


สามชุก


วันนี้ ลุงมนูญ ขาววิเศษ กรรมการพัฒนาตลาดสามชุกมาเป็นไกด์ให้เรา ความช่างคุยช่างเล่าของลุงทำให้บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างริมน้ำที่ตั้งอยู่ ของมันเฉยๆ กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาในทันใด เพลินชมวิวและเพลินฟังลุงบรรยายจนผ่านวัดสามชุกมาได้สักพัก เรือก็หักหัวเข้าเทียบฝั่งไปนมัสการ หลวงพ่อธรรมจักรและชม พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดสามชุกที่เราผ่านมา โดยวัดสามชุกนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยเสด็จประพาสเมื่อปี พ.ศ.2498

พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัด สามชุก มากมายด้วยข้าวของโบราณ ทว่าสิ่งที่เด่นที่สุดคือรอยพระพุทธบาทจำลองโบราณทำด้วยทองเหลือง ที่วันนี้ร่องรอยไม่ครบส่วน เพราะถูกโจรมือ (ไม่) ดีตัดรอยพระพุทธบาทบางส่วนออกไปขายเสียแล้ว

กลับมาถึงตลาดสามชุกราว บ่ายกว่า ลุงมนูญยังมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ อาสาพาเราไปเที่ยววัดบ้านทึงและวัดบางแอก ตามที่คุณอรุณลักษณ์ อ่อนวิมล หนึ่งในคณะกรรมการพัฒนาตลาดสามชุกแนะนำไว้



สามชุก


วัดบ้านทึง เป็นวัดเก่าแก่ สร้างคู่กันมากับวัดสามชุกสันนิษฐานว่าสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2020 โดยมีปูชนียสถานปรากฎอยู่มากมาย เช่น วิหารและหอไตร สร้างจากศิลาแลงรูปปั้นยักษ์เวสสุวรรณ ซึ่งอยู่พบอยู่ริมแม่น้ำ ทุกวันนี้ยกไปตั้งไว้หน้าวัด ส่วนในโบสถ์นั้นประดิษฐานพระประธานปางป่าเลไลยก์องค์ใหญ่


สามชุก


ถัดจากวัดบ้านทึงไปตามทางหลวงหมายเลข 340 อีกไม่กี่กิโลเมตร ถือวัดบางแอก วัดสร้างสมัยอู่ทอง สิ่งที่หลงเหลือให้เห็นคือพระพุทธรูปในศาลาที่มีผู้คนศรัทธามากราบไหว้จน กลิ่นธูปควันเทียนอบอวล รวมทั้งมีพวงมาลัยเต็มล้นศาลาริมทางหลวง


สามชุก


สามชุกวันนี้จึงไม่ได้มีเพียงตลาดร้อยปีให้ไปเที่ยว แต่ยังมีวัดวาอารามที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของสุพรรณบุรีผ่านโบราณวัตถุสถานและตำนาน เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ตามรอยเติบโตของบ้านเมือง







ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

มดคันไฟ invicta พิษร้าย! กัดต่อยถึงตาย 3

พิษของ มดคันไฟ invicta

มดคันไฟ invicta ยังมีพิษร้ายแรง เหล็กในจากมดชนิดนี้มีพิษสะสม ทำให้เกิดอาการไหม้และคันอย่างรุนแรง พิษจะออกฤทธิ์อยู่นานเป็นชั่วโมง และเป็นเม็ดตุ่มพองซึ่งกลายเป็นหนองสีขาว เมื่อตุ่มหนองนี้แตกก็สามารถมีแบคทีเรีย เข้าไปและเป็นแผลเป็น บางคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงจะก่อให้เกิดอาการหมดสติและเสียชีวิตได้

ทั้งนี้ มดคันไฟ invicta มีความก้าวร้าวสูงมาก เมื่อมันต่อยจะฉีดสารพิษกลุ่ม alkaloid ทำให้เนื้อเยื่อตาย มีรายงานว่า ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกามีประชาชนประมาณ 25,000 คน ที่ต้องหาหมอเพื่อรักษาจากการโดนต่อยของมดชนิดนี้ และด้วยวิธีการโจมตีเหยื่อแบบรุมต่อยเป็นร้อยๆ ตัว ทำให้เหยื่อที่มีขนาดไม่ใหญ่มากได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสาหัส หรือเสียชีวิตได้เลย

มดคันไฟ invicta กับผลกระทบต่อระบบนิเวศ

มดคันไฟ invicta สามารถปรับตัวและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว จนประเทศที่มีการระบาดของ มดคันไฟ invicta ต้องมีการจัดตั้งศูนย์เตือนภัยขึ้นมา เพื่อยับยั้งการขยายพันธุ์ บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ที่โดนต่อย และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการกัดกินพืชผักต่างๆ

ทั้งนี้ มดคันไฟ invicta ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นอย่างมาก เนื่องจากมดชนิดนี้มีจำนวนมาก ชอบรุกราน ชอบทำลายอย่างมาก และยังไม่มีศัตรูทางธรรมชาติที่จะกำจัดมดชนิดนี้ออกไปได้ จึงทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกมันจะเข้าโจมตีไข่นก และสัตว์เลื้อยคลานที่อายุน้อยจำนวนมาก และในพื้นที่ที่มีมดชนิดนี้สูงมากจะเข้าทำลายสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น พวกสัตว์ฟันแทะ และยังล่ากลุ่มผึ้งที่หากินเดี่ยวๆ ด้วย

ในสหรัฐอเมริกา มดคันไฟ invicta สร้างความเสียหายทางการเกษตรได้ในวงกว้าง ด้วยการเข้าไปทำลายระบบรากของพืช เช่น ถั่วเหลือง พืชตระกูลส้ม ข้าวโพด กะหล่ำ มันฝรั่ง ถั่วลิสง ทานตะวัน ข้าวฟ่าง มะเขือ ถั่วเขียว เป็นต้น และทำความเสียหายในเครื่องมือการเกษตร สัตว์เลี้ยง สัตว์ป่า พื้นที่สาธารณะ อุปกรณ์ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์ รถยนต์ ปัจจุบัน มดชนิดนี้สร้างความเสียหายมาก กว่า 320 ล้านเอเคอร์ ใน 12 รัฐทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาและเปอร์โตริโก

อย่างไรก็ตาม ในอเมริกา มดคันไฟ invicta เป็นตัวห้ำหั่นที่ดีเยี่ยมในธรรมชาติ และเป็นการควบคุมทางชีววิธีสำหรับศัตรูพืชหลายชนิด เช่น หนอนเจาะต้นอ้อย มวนที่เป็นศัตรูข้าว แมลงหางหนีบ เพลี้ยอ่อน ด้วงงวง หนอนคืบถั่วเหลือง หนอนกินใบฝ้าย ต่อสน แต่มดชนิดนี้ก็ยังเป็นตัวทำลายแมลงพวกผสมเกสร เช่น ผึ้งที่สร้างรังใต้ดิน และยังกินเมล็ด ใบ ราก เปลือก น้ำหวาน น้ำเลี้ยง เชื้อรา และมูลต่างๆ เป็นอาหารด้วย ซึ่งจะสร้างมูลค่าความเสียหายต่ออุตสาหกรรมการเกษตรนับพันล้านบาทต่อปี

ประโยชน์ของ มดคันไฟ invicta

ถึงแม้ มดคันไฟ invicta จะสร้างความเสียหายให้กับเกษตรกรอย่างมหาศาล แต่มดชนิดนี้ก็มีประโยชน์ในการกำจัดศัตรูพืชหลายชนิด เช่น หนอนเจาะต้นอ้อย มวนที่เป็นศัตรูข้าว แมลงหางหนีบ เพลี้ยอ่อน ด้วงงวง หนอนคืบถั่วเหลือง หนอนกินใบฝ้าย ต่อสน เป็นต้น

อ่านเริ่มต้นเรื่องใหม่



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

มดคันไฟ invicta พิษร้าย! กัดต่อยถึงตาย 2

ลักษณะของ มดคันไฟ invicta

สำหรับรูปร่างหน้าตาภายนอกของ มดคันไฟ invicta แทบจะไม่มีความแตกต่างจากมดคันไฟที่พบเห็นในประเทศไทย แต่จะมีผิวลำตัวเรียบและสดใสกว่า และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีฟันตรงกลางริมฝีปากบน ซึ่งส่วนใหญ่จะมองด้วยตาเปล่าไม่ค่อยเห็น ต้องอาศัยแว่นขยายช่วย

ถิ่นกำเนิด ของ มดคันไฟ invicta

มดคันไฟ invicta มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ต่อมาได้แพร่กระจายไปเกือบทั่วโลก และเริ่มขยายพันธุ์เข้ามาในเอเชียเมื่อ 2- 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพบในไต้หวัน ฮ่องกง เป็นที่แรกๆ และคาดว่าจะเข้ามาสู่ประเทศไทยในไม่ช้า

ถิ่นอาศัย ของ มดคันไฟ invicta

มดคันไฟ invicta ชอบสร้างถิ่นอาศัยบริเวณที่มีน้ำไหลเวียน มีปริมาณน้ำฝนมากกว่า 550 มิลลิเมตรต่อปี อาทิ พื้นที่การเกษตร สวนป่า ทุ่งหญ้า ฝั่งแม่น้ำลำคลอง ชายฝั่งทะเล ทะเลทราย และสนามกอล์ฟ มักสร้างถิ่นอาศัยแบบเป็นรังหรือเป็นจอมโดยใช้มูลดิน ซึ่งจะมีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 เมตร ความสูงประมาณ 4 - 24 นิ้ว ส่วนมดคันไฟที่มีอยู่ในไทยจะสร้างรังเรียบๆ กับพื้น ไม่มีจอม และมีจำนวนประชากรมากถึง 500,000 ตัวต่อรัง ขณะที่มดคันไฟธรรมดาจะมีเพียง 10,000 ตัวต่อรัง


อ่านต่อ

อ่านเริ่มต้นเรื่อง


มดคันไฟ invicta พิษร้าย! กัดต่อยถึงตาย 1

invicta




สรุปข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก myrmecos.wordpress.com, wikipedia.org, cisr.ucr.edu

จาก ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันส่งผลให้เกิดการแพร่ขยายพันธุ์ของแมลงและมดเพิ่มมาก ขึ้น และในขณะนี้มีมดคันไฟตัวใหม่สายพันธุ์ใหม่ invicta หรือที่เรียกๆ กันว่า มดคันไฟ อินวิคต้า (Solenopsis invicta) เกิดขึ้นในโลกเรา ซึ่ง รศ.ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา แห่งภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับ มดคันไฟ invicta หรือ มดคันไฟ อินวิคต้า ดังนี้ …

ชื่อวิทยาศาสตร์ ของ มดคันไฟ invicta

มดคันไฟอินวิคต้า หรือ Red imported fire ant มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Solenopsis saevissima wagneri อยู่ในวงศ์ Formicidae (Solenopsis invicta) ถูกตีพิมพ์โดยบูเรน(Buren) ในปี ค.ศ. 1972 เป็นชื่อรองหรือ ชื่อตั้งสงวนไว้(nomen protectum) เนื่องจากความจริงแล้วชื่อแรกของมดชนิดนี้ คือ Solenopsis saevissima wagneri ถูกตั้งโดยแซนต์ชิ (Santschi) ในปี ค.ศ. 1916 ซึ่งกลายเป็น ชื่อตั้งไม่นิยม เพราะมีเอกสารมากกว่าพันฉบับที่ตีพิมพ์ภายใต้ชื่อ invicta ก่อนที่จะมีคนค้นพบว่าเป็นชื่อพ้อง และในปี ค.ศ. 2001 ICZN บังคับให้ invicta เป็นลำดับเหนือกว่า wagneri

อ่านต่อ

ฮือฮา "ซันมา" แมวพูดได้

เรื่องราวของความแปลกประหลาดของสัตว์เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง

ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของการแสดงท่าทางจากการฝึกฝนของมนุษย์ แต่สิ่งที่สัตว์สามารถเลียนแบบให้เหมือนมนุษย์ได้นั้นมีน้อยมาก โดยเฉพาะในเรื่องของการออกเสียงพูด

แต่ที่บ้านเลขที่ 297/5 ถนนตรัง-ปะเหลียน เขตเทศบาลตำบลย่านตาขาว อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง กลับมีสัตว์ชนิดหนึ่งที่สามารถทำได้ นายนันทศิลป์ ว่องวชิรพันธ์ หรือ "โกปู้" อายุ 45 ปี เจ้าของร้านจำหน่ายปุ๋ยชีวภาพ บอกว่า เมื่อ 6 ปีที่แล้วมีลูกแมวตัวหนึ่งชื่อว่า "ซันมา" เป็นเพศเมีย แต่ไม่ทราบว่าเป็นสายพันธุ์อะไร บ้านข้างๆ นำมาจาก จ.ปัตตานี เพื่อมาเลี้ยง แต่เจ้าแมวตัวนี้มักจะแอบมาอยู่ที่บ้าน จึงดูแลเป็นอย่างดี จนสุดท้ายเจ้าแมวตัวนี้ก็หนีมาอยู่ถาวร

พฤติกรรมของเจ้าซันมา ไม่เหมือนกับแมวทั่วไป นอกเหนือจากการที่ชอบประจบประแจงแล้ว มันก็ได้เรียนรู้ด้วยการอุจจาระและปัสสาวะบนโถส้วมเหมือนกับมนุษย์

"แต่สิ่งที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้พูดคุยเรียกว่า "ซันมา จ๋า" ปรากฏว่าเจ้าแมวได้ขานรับด้วยคำว่า "จ๋า" กลับมา และยิ่งแปลกมากขึ้นเมื่อประมาณ 2 เดือนที่แล้ว เจ้าซันมา ยังได้พูดคำว่า "แม่" ออกมาด้วย"

นายนันทศิลป์ กล่าวถึงแมวตัวโปรดอย่างภูมิใจ พร้อมกันนั้นยังมีการเผยแพร่ออกทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ทำให้มีผู้คน จำนวนมากเดินทางมาขอชมเจ้าซันมา เพื่อที่จะฟังเสียงแมวพูดได้ พร้อม ทั้งยังมีการเสนอขอซื้อตัวเจ้าซันมา โดยให้ราคาสูงถึง 4-5 แสนบาท และก่อนหน้านี้เจ้าซันมา ก็เคยถูกขโมยหายไปจากบ้านแล้วครั้งหนึ่ง แต่โชคดีที่มันสามารถหนีกลับมาได้เอง

เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริง วันก่อน นายธวัช อุดมคณารัตน์ ปศุสัตว์จังหวัดตรัง นำเจ้าหน้าที่เดินทางไปฟังเสียงร้องของเจ้าซันมา ปรากฏว่าแมวได้ร้องตอบโต้กลับมาหลายครั้ง แต่เป็นลักษณะของเสียงแบบสั้นๆ มิได้ออกคำชัดเจนเหมือนกับมนุษย์ทั่วไป

เจ้าหน้าที่วิเคราะห์น่าจะเกิดมาจากกล่องเสียงของแมวที่ผิดปกติ

ด้านนายสัตวแพทย์อลงกรณ์ มหรรณพ สัตวแพทย์ประจำสำนักพระราชวัง มองว่า เหตุการณ์ ดังกล่าวเป็นการเลียนเสียงของมนุษย์ คล้ายกับนกแก้วหรือนกขุนทอง ส่วนที่เกิดขึ้นกับแมวนั้นมีโอกาสน้อยมาก เป็นการเลียนเสียงแม้จะไม่ชัดเจน แต่ใกล้เคียงกับคำพูดของคน เมื่อคนได้ยิน จึงคิดว่าสัตว์เลี้ยงนั้นพูดได้ และส่วนหนึ่งเกิดจากความเคยชินที่ได้ยินเสียงดังกล่าวซ้ำๆ เช่นคำว่า "จ๋า" หรือ "แม่"

ดังนั้น จึงอยู่กับหูของแต่ละคนว่าจะฟังเสียงร้องของเจ้าเหมียวออกมาอย่างไร แต่ที่แน่ๆ เจ้าซันมา ดังไปแล้ว

ถือเป็น "แมว" ที่ดังสุดในเวลานี้!!

ข้อมูลจาก

สุดยอดน้ำพุที่ประเทศดูไบ

สมัยนี้ไม่ว่าจะไปห้างสรรพสินค้า หรือว่าโรงแรมใหญ่ๆ ย่อมต้องพบกับบริเวณลานน้ำพุ ซึ่งแตกต่างไปจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุที่สามารถยิงขึ้นสู่ฟ้าตามเสียงจังหวะดนตรี หรือร่ายรำตามเสียงเพลงประกอบแสงสี แต่สำหรับประเทศดูไบผู้ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานชิ้นโบแดงทางด้านสถาปัตยกรรม อย่างเช่น Palm Tree island

dubai fountain

และในไม่ช้านี้ น้ำพุที่ใช้เทคโนโลยีอันทันสมัยที่สุด ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 281 ล้านดอลลาห์ ก็เตรียมที่จะเกิดขึ้นอีกเช่นกันในประเทศนี้ โดยเจ้าน้ำพุที่ว่านี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะกลายเป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดใน โลกโดยมีความยาวถึง 825 ฟุตและสามารถฉีดน้ำขึ้นไปในอากาศได้สูงถึง 450 ฟุตเลยทีเดียว ในส่วนของภาพและเสียงนั้นทุกอย่างจะถูก ควบคุมโดยคอมพิวเตอร์ โดยมีอุปกรณ์ที่ใช้ในส่วนของไฟนั้นมากถึง 6,600 ชุดและใช้โปรเจคเตอร์จำนวน 50 เครื่องในการฉายภาพไปยังม่านน้ำเพื่อสร้างบรรยากาศของท้องฟ้าดูไบในยาำมค่ำ คืน


dubai_fountain_2

ซึ่งเจ้าน้ำพุนี้ก็ยังไม่ได้ถูกตั้งชื่อขึ้นมาเป็นทางการอย่างใด โดยขนาดของมันนั้นสามารถเบียดน้ำพุ iconic ที่โรงแรม Bellagio ในเมือง Las Vegas ให้ตกขอบไปได้เลย เพราะเมื่อเทียบกันแล้วโครงการน้ำพุของประเทศดูไบนั้นมีขนาดใหญ่กว่าถึง 25%

dubai_fountain_6

dubai_fountain_7

โดยโครงการนี้คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2009 และทางการของประเทศดูไบนั้นตั้งเป้าที่จะใช้เจ้าน้ำพุนี้ในการดึงดูดนักท่อง เที่ยว เข้ามายังประเทศสูงถึงปีละ 10 ล้านคนเลยทีเดียว ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกโครงการแหนมยักษ์ ข้าวหลามยักษ์ แหละบรรดาของสารพัดยักษ์อย่างที่ออกข่าวผ่านทาง TV จะสามารถดึงคนมาเที่ยวประเทศได้เหมือนน้ำพุที่ประเทศดูไบได้หรือเปล่า

ข้อมูลเพิ่มเติม

ส้วมที่เมืองจีน

ขอยืมบทความมาจากที่นี่นะครับ เห็นว่าน่าสนใจดีครับ

http://www.tonkeian.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=228180&Ntype=2


ส้วมที่เมืองจีน

ร.ศ.สมพร ชินโนรส*

ผู้ เขียนได้ยินกิตติศัพท์เรื่องส้วมที่เมืองจีนมานาน คราวนี้จะไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติจิ้วใจ่โกว ที่เมืองจีน สงสัยจะได้ประสบการณ์เรื่องส้วมเป็นแน่แท้ วันแรกที่ไปถึงไกด์จีนได้พรรณนาเรื่องส้วมให้ฟังว่า ส้วมที่เมืองจีนมีหลายแบบ บางแบบผู้ใช้อาจต้องเผชิญกับภาพและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ก็ขอให้ผู้เขียนและคณะทำใจ เพราะประเทศจีนบางส่วนคนยังจนอยู่ จึงต้องมีส้วมแบบนั้น

เริ่ม ด้วยส้วมที่ภัตตาคาร ภัตตาคารนี้มีส้วมหลายห้อง แต่ละห้องมีฝาปิดมิดชิด ภายในห้องมีส้วมแบบนั่งยองๆ หรือแบบนั่งบนโถส้วม เมื่อทำธุระเสร็จแล้วก็ใช้มือกดให้น้ำไหลออกมาชำระล้างสิ่งปฏิกูล พวกเราเดินทางไปชมศาลเจ้าสามก๊ก ส้วมที่ศาลเจ้าสะอาดตามมาตรฐานสากล ส้วมที่แหล่งอนุรักษ์หมีแพนด้าก็สะอาด ไม่มีกลิ่นเหม็น ประตูปิดมิดชิด และไม่เสียสตางค์ค่าเข้าส้วมค่ะ

ว่า ไปแล้วส้วมที่ภัตตาคาร ส้วมตามสถานที่ท่องเที่ยว และส้วมตามโรงแรมระดับ 4 ดาว 5 ดาวของจีนเป็นส้วมตามมาตรฐานสากล คือ เป็นส้วมที่เป็นห้อง แต่ละห้องมีประตูปิดมิดชิด คนข้างห้องไม่สามารถชะโงกหน้ามาดูคนอีกห้องหนึ่งได้ ภายในห้องส้วมสะอาด มีที่กดน้ำเพื่อชำระล้างโถส้วม บางแห่งใช้มือกด บางแห่งใช้เท้าเหยียบ และบางแห่งไม่ต้องกดเลย เพียงแต่ว่าเมื่ออุจจาระหรือปัสสาวะลงไปอยู่ในโถส้วมแล้ว จะมีน้ำไหลออกมาเอง และชำระสิ่งสกปรกที่อยู่ในโถส้วมจนหมด

บันทึกนักเดินทาง_แบบส้วมภาพที่ 1

ส้วม ที่อุทยานแห่งชาติจิ้วใจ่โกวนั้น high tech มากค่ะท่านผู้อ่าน อาจเป็นเพราะคนจีนให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมในจิ้วใจ่โกวมาก เขาจึงนำเทคโนโลยีขั้นสูงเรื่องส้วมมาใช้ ส้วมเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวของจิ้วใจ่โกว เช่น ใกล้น้ำตก หรือทะเลสาบ เป็นต้น เป็นส้วมถาวรหรือเป็นส้วมเคลื่อนที่ เมื่อคนเข้าไปในห้องส้อมที่ปิดมิดชิด นั่งบนโถส้วมที่มีถุงพลาสติกคลุมอยู่ และทำธุระส่วนตัว เช่น ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะ เมื่อทำธุระเสร็จแล้วระบบกำจัดของเสียจะดูดของเสียเข้าไปในถุงพลาสติกเองโดย อัตโนมัติ และจะมีถุงพลาสติกใบใหม่ออกมาพร้อมบริการผู้ใช้ส้วมคนต่อไป

เห็น ไหมคะว่าส้วมที่จิ้วใจ่โกว high tech แค่ไหน เมืองไทยที่ว่าแน่เรื่องส้วมยังไม่มีส้วมแบบจิ้วใจ่โกวเลย ที่กล่าวมาเป็นเรื่องส้วมที่เมืองจีนซึ่งส่วนมากก็ไม่แตกต่างไปจากส้วมที่ เมืองไทย ลองมาดูส้วมที่เมืองจีนอีกมุมหนึ่งบ้างดีกว่านะคะท่านผู้อ่าน

ตาม ชนบทในเมืองจีนยังมีส้วมแบบที่คนจีนใช้ในชีวิตประจำวัน และพวกเรานักท่องเที่ยวก็จำต้องใช้ส้วมแบบเขาด้วย ก็มันปวดฉี่ ปวดอึ จะกลั้นเท่าไรก็กลั้นไม่ได้ เพราะเดินทางไกลหลายร้อยกิโลเมตร และหลายชั่วโมง จะหวังน้ำบ่อหน้า คือ ใช้ส้วมที่โรงแรมก็หวังไม่ได้ เพราะยังไม่ถึงโรงแรมสักที ขนาดเตรียมตัวมาอย่างดี เช่น ดื่มน้ำน้อยลง รวมทั้งไม่ดื่มน้ำชาที่เขายกมาบริการ เพราะน้ำชาเป็นยาขับปัสสาวะค่ะ

ไกด์ ไทยบอกว่าในเมื่อต้องเข้าส้วมตามชนบทของจีน ขอให้เอายาหม่องหรือยาดมทาจมูก เพื่อจะได้ไม่ต้องดมกลิ่นที่ไม่พึงปรารถนาของส้วม ผู้เขียนทำตามคำแนะนำของคุณไกด์ไทย แต่กลิ่นส้วมบางแห่งก็โชยมากระทบจมูกอย่างจังเลยค่ะ

ก่อน จะเข้าส้วมต้องจ่ายค่าเข้าก่อนนะคะ บางแห่งจ่าย 1 หยวน บางแห่งจ่ายครึ่งหยวน 1 หยวนประมาณ 5 บาทไทย จ่ายเสร็จแล้วก็เข้าคิวผู้หญิงเข้าคิวหน้าห้องส้วมผู้หญิง ผู้ชายเข้าคิวหน้าห้องส้วมผู้ชาย

บันทึกนักเดินทาง_ส้วม

เมื่อ เข้าไปจะเห็นห้องส้วมเล็กๆหลายห้อง บางแห่งจะเป็นห้องส้วมมาตรฐาน คือ เป็นห้องส้วมที่ปิดมิดชิด มีประตู และมีกลอนประตู แต่ส่วนใหญ่จะไม่เป็นแบบนั้น คือ เป็นมาตรฐานแบบส้วมของจีน คือ แบ่งเป็นห้องส้วมเล็กๆหลายห้อง แต่ละห้องมีฝากั้น ฝากั้นนั้นสูงมิดหัวเมื่อนั่งทำธุระส่วนตัว แต่เมื่อยืนขึ้นจะเห็นคนในห้องข้างเคียง ถ้าตั้งใจจะดูคนในห้องข้างเคียงทำธุระส่วนตัว แต่ส่วนมากผู้เขียนไม่อยากดูหรอกค่ะ

ต่อ ไปก็เป็นประตูส้วม บางแห่งมีประตูส้วมและมีกลอนประตู แต่ส่วนใหญ่แม้ว่าจะมีกลอนประตู แต่กลอนประตูมักชำรุดใช้การไม่ได้ นอกจากนั้นบางแห่งไม่มีกลอนประตูด้วยซ้ำไป

พูด ถึงเรื่องประตูส้วม ส้วมบางแห่งมีฝากั้น 3 ด้าน ฝาด้านหน้าบางแห่งไม่มี บางแห่งมีฝาด้านหน้า แต่ก็มีฝาเพียงครึ่งเดียว ที่เหลือปล่อยว่างไว้เป็นทางเข้าออกส้วม

บันทึกนักเดินทาง_ส้วม
เข้าไปภายในส้วมเลยดีกว่าค่ะ บางแห่งมีโถส้วม แต่ส่วนมากไม่มีโถส้วม เขาใช้วิธีทำช่องว่างไว้ที่พื้นซีเมนต์ ช่องนั้นกว้าง x ยาว ประมาณ 8 นิ้วฟุต x 20 นิ้วฟุต ก็เปิดโล่งอย่างนี้ บางแห่งมีน้ำไหลชำระสิ่งปฏิกูลอยู่ตลอดเวลา เราก็มองไม่เห็นอะไร แต่บางแห่งอยู่ห่างไกลมาก แหล่งน้ำที่จะชำระสิ่งปฏิกูลก็ไม่มีหรือมีน้อย เราจึงเห็นอุจจาระกองอยู่ อย่าคิดอะไรมากมายเลยนะคะท่านผู้อ่าน ปวดฉี่จะแย่อยู่แล้ว รีบทำธุระเถอะ เสร็จแล้วก็ออกมานอกส้วม มารูดซิป หรือติดกระดุมกางเกงนอกส้วมดีกว่า

บันทึกนักเดินทาง_ส้วม บันทึกนักเดินทาง_ส้วม

มี ส้วมบางแห่ง เมื่อเข้าไปก็พบเพียงช่องว่างบนพื้นซีเมนต์เป็นระยะ นับได้ 3 ช่อง พวกเราคนไทยทุกคนต่างเมินห้องส้วมที่เป็นช่องว่างเหล่านี้ แต่ขอไปเข้าคิวเข้าห้องส้วมที่มีเพียงฝากั้น 3 ด้านและไม่มีประตู โถ! ก็คนไม่เคยจะให้ไปเปิดก้นขาวให้คนอื่นดูได้อย่างไรเล่าคะ ขนาดเป็นอย่างนี้ถ้าทำได้ ผู้เขียนก็ขอเข้าไปใช้ส้วมห้องในสุดเลยค่ะ เมื่อเสร็จธุระแล้วผู้เขียนก็เดินตัวตรงออกมาเลย ไอ้ที่จะมองซ้ายมองขวานั้นไม่มีหรอกค่ะ แหม! เราอาย คนอื่นเขาก็อายค่ะ อย่าไปมองเขาเลยนะคะ

ขอโทษด้วยนะคะท่านผู้อ่าน ที่เล่าเรื่องที่ไม่ควรเล่า แต่เรื่องอึ เรื่องฉี่นี่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนนะคะ เพราะฉะนั้นส้วมก็เป็นสิ่งจำเป็น ผู้เขียนเล่าเรื่องส้วมที่เมืองจีนเผื่อคนที่จะไปชนบทของจีนจะได้เตรียมตัว เตรียมใจไงคะ...สวัสดีค่ะ

กำแพงเมืองจีน

ชื่อสถานที่

กำแพงเมืองจีน
: Great Wall of China
สถานที่ตั้ง ประเทศจีน
ปัจจุบันสามารถเข้าเยี่ยมชมได้

กำแพงเมืองจีน หรือกำแพงอิฐยักษ์ เป็นกำแพงกั้นเมือง และกั้นประเทศทั้งประเทศ ตามพรมแดนด้านเหนือของจีน เป็นกำแพงที่ยาวใหญ่มหึมา หาที่ใดในโลกมาเปรียบ ไม่ได้อีกแล้ว มีขนาดกว้างตั้งแต่ 4.5 เมตร ถึง 7.5 เมตร(10 ฟุต) ซึ่งทหารม้าเข้าแถวเรียง 8 ได้อย่างสบาย ๆ มีความสูง จากพื้นด้านล่างตั้งแต่ 8 เมตร ถึง 9 เมตร(20-30 ฟุต หนา15-25 ฟุต) สูงพอที่จะไม่สามารถ ปีนข้ามไปได้ง่าย ๆ เดิมเชื่อว่ามีความยาว 2,550 ไมล์ ( 2,400 กิโลเมตร) บนกำแพงทุก ๆ ระยะ 200 เมตร(300 ฟุต) จะมีหอหรือป้อม สำหรับตรวจเหตุการณ์ มีป้อมมากกว่า 15,000 แห่ง สร้างสูงขึ้นไปอีก 3 เมตร ถึง 6 เมตร และมีระฆังแขวน เพื่อตีบอกสัญญาณเกิดเหตุ ไว้ประจำทุกหอ รวมทั้งหมดมีไม่ต่ำกว่า 20,000 หอ เริ่มสร้างระหว่างปี พ.ศ. 300-329 (243-252ปีก่อนคริสตกาล) ในสมัยพระเจ้าซี่วังตี่ ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี และมีการสร้างต่อเติมอีกหลายกครั้ง ใช้แรงงานเกณฑ์จากราษฎรทั้งประเทศ นับจำนวนล้าน มีผู้เสียชีวิตนับพันนับหมื่น

เป็นสิ่งก่อสร้าง ชนิดเดียวในโลก ที่สามารถมองเห็น เมื่อมองจากดวงจันทร์ ในสมัยนั้นเป็นสิ่งก่อสร้างที่ป้องกันข้าศึกได้อย่างดีเยี่ยม ปัจจุบันไม่มีความหมายในด้านป้องกันประเทศอีกแล้ว คงมีค่าเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์อย่างหนึ่งของโลก

http://www.wonder7th.com/greatwall02.jpg http://www.wonder7th.com/greatwall06.jpg

http://www.wonder7th.com/greatwall05.jpg http://www.wonder7th.com/greatwall07.gif

http://www.wonder7th.com/greatwall04.jpg

เกิดอะไรกันแน่ที่ “ทังกัสกา” ปริศนากว่าศตวรรษยังคงคาใจ??3

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

ทะเลสาบ เชคโกซึ่งไม่เคยอยู่ในแผนที่ก่อนเกิดเหตุการณ์ทังกัสกาเลย และทีมสำรวจจากอิตาลีจะได้เข้าไปสำรวจในปีหน้า หลังข้อมูลเรดาร์ระบุมีวัตถุหนาแน่นอยู่ก้นทะเลสาบ (ภาพจากมหาวิทยาลัยโบลอกนา/บีบีซีนิวส์)

ส่วนหนึ่งของป่าทังกัสกาในปัจจุบันซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อ 100 ปีก่อน และยังคงเป็นที่สนใจ (ภาพจากบีบีซีนิวส์)

ภาพ บน (จากมหาวิทยาลับโบโลญญา) สภาพป่าทังกัสกาในปัจจุบัน ที่ยังคงเห็นต้นไม้ที่ล้มระเนระนาดจากเหตุการณ์เมื่อ 100 ปีก่อน และภาพล่าง (จากบีบีซีนิวส์) กระท่อมที่กูลิกและคณะใช้พักระหว่างสำรวจสถานที่เกิดเหตุทังกัสกา


อ่านเริ่มต้นใหม่

เกิดอะไรกันแน่ที่ “ทังกัสกา” ปริศนากว่าศตวรรษยังคงคาใจ??2

กระทั่งเมื่อ 2470 ลีโอนิด กูลิก (Leonid Kulik) ผู้เชี่ยวชาญด้านอุกกาบาตชาวรัสเซียได้นำทีมสำรวจพื้นที่เพื่อค้นหาร่องรอยที่เหลือ แต่เขาก็ล้มเหลวในการค้นหาหลุมที่เกิดจากการชน

หลังจากนั้นทีมสำรวจในอีก 33 ปีก็ยังคงล้มเหลวในการค้นหาหลุมอุกกาบาต นักวิทยาศาสตร์จึงเผชิญกับความลึกลับของเหตุการณ์ทังกัสกาที่สร้างความเสีย มากกว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่กลับไม่ทิ้งร่องรอยไว้

อีกทั้งเมื่อทศวรรษก่อน นักวิจัยหลายคนคาดเดาว่า อุกกาบาตที่พุ่งชนโลกนั้นน่าจะมีความกว้างราวๆ 30 เมตร และมีมวล 560,000 ตัน แต่การจำลองด้วยคอมพิวเตอร์ล่าสุดบ่งชี้ว่า อุกกาบาตที่เป็นสาเหตุของความเสียหายใหญ่โตนี้มีขนาดเล็กกว่าที่เคยคาดไว้ มาก

มาร์ก บอสลาฟ (Mark Boslough) นักฟิสิกส์จากห้องปฏิบัติการแซนเดียแห่งสหรัฐฯ ในอัลบูเคอร์คิว (Sandia National Laboratory in Albuquerque) นิวเม็กซิโก พร้อมด้วยคณะระบุว่า อุกกาบาตแห่งทังกัสกานี้น่าจะเล็กกว่าที่เคยคาด 3-4 เท่า และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เมตร

“เมื่อ อุกกาบาตระเบิดหลังจากพุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก บอสลาฟและคณะคำนวณว่าจะเกิดก๊าซที่ร้อนยิ่งยวด และมีความเร็วเหนือเสียง ลูกไฟที่เกิดขึ้นเป็นสาเหตุของคลื่นระเบิดที่สร้างความเสียหายรุนแรงกว่าที่ เคยคิดกัน” สเปซดอตคอมรายงานสิ่งที่บอสลาฟและคณะคำนวณได้

บางทฤษฎีว่า การระเบิดในทุ่งทังกัสกานั้นน่าจะเกิดขึ้นจากใต้แผ่นดินนี่เอง โดยโวล์ฟกัง คุนด์ท (Wolfgang Kundt) นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยบอนน์ (University of Bonn) ในเยอรมนี และนักวิทยาศาสตร์บางส่วนแสดงความเห็นว่า เปลวไฟซึ่งสว่างถึงขั้นที่ชาวลอนดอน สามารถอ่านหนังสือในย่ามค่ำคืนได้อย่างสบายๆ นั้นน่าจะเกิดจากการปะทุของก๊าซธรรมชาติในคิมเบอร์ไลต์ (kimberlite) หินภูเขาไฟซึ่งรู้จักกันดีว่าบางครั้งเราอาจพบเพชรในหินชนิดนี้

“อาจ เกิดจากของเหลวภายในโลกซึ่งอยู่ลึกลงไป 3,000 กิโลเมตร ก๊าซธรรมชาติถูกกักเก็บไว้ในรูปของเหลว และเมื่อสัมผัสอากาศก็กลายเป็นก๊าซที่มีปริมาตรเพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า แล้วเกิดระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น” คุนด์ทกล่าว และเพื่อสนับสนุนแนวคิดนี้เขาได้อ้างถึงลักษณะของต้นไม้และสารเคมีที่ผิดปกติ

อีกทฤษฎีที่น่าสนใจซึ่งบีบีซีนิวส์รายงานไว้ คือ อุกกาบาตที่ถล่มทังกัสกาอาจเป็นชิ้นส่วนของดาวหางเองเค (Encke) ซึ่งสายธารฝุ่นของดาวหางดวงนี้ ทำให้เกิดฝนดาวตกเบตาทอริดส์ (Beta Taurids) ระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.ของทุกปี และเป็นช่วงเดือนใกล้เคียงกับที่เหตุการณ์ทังกัสกา และหากมีหลุมขนาดใหญ่สักแห่งก็จะนำไปสู่ทฤษฎีใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงเหตุการณ์ทังกัสกาได้

อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2550 จูเซปเป ลองโก (Giuseppe Longo) และคณะจากมหาวิทยาลัยโบโลญญา (University of Bologna) อิตาลี ระบุว่าพวกเขาอาจพบบางสิ่งที่กูลิกได้พลาดไปเมื่อหลายปีก่อน โดยทะเลสาบเชกโก (Lake Cheko) นั้นไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่มาก่อนปีที่เกิดเหตุการณ์ทังกัสกาเลย อีกทั้งตำแหน่งของทะเลสาบยังอยู่กึ่งกลางทางตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางที่อุกกาบาตลึกลับตกสู่โลก

ตามข้อมูลจาก ดร.ลองโก ระบุว่า สัญญาณเรดาร์นั้นแสดงให้เห็นถึงวัตถุที่มีความหนาแน่นสูงอยู่ก้นทะเลสาบ โดยฝังลึกลงไป 10 เมตร ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของอุกกาบาตที่ถล่มทังกัสกา และทีมของเขาก็เตรียมทำการสำรวจพื้นที่ดังกล่าวในปี 2552 เพื่อหาความเป็นไปได้ในข้อสันนิษฐานดังกล่าว

ปัจจุบันมีข้อทฤษฎีต่อเหตุการณ์มาทังกัสกามากกว่า 20 ข้อ บ้างก็ว่ามาจากจานบินลึกลับ ปฏิสสาร วันสิ้นโลกและหลุมดำ แต่ก็ไม่มีทฤษฎีใดที่มีหลักฐานชี้ชัด ซึ่งเมื่อปลายเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์จากทั่วรัสเซียก็ได้รวมตัวกันเพื่อถกเถียงเรื่องนี้ในการ ประชุมว่าด้วยเรื่องทังกัสกาโดยเฉพาะ และมีการใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์มากกว่าเทคนิคดั้งเดิม เพื่อหาสาเหตุที่ทำลายพื้นที่ไซบีเรียอันห่างไกล แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ออกมา

อ่านต่อ
อ่านต้นเรื่องใหม่

เกิดอะไรกันแน่ที่ “ทังกัสกา” ปริศนากว่าศตวรรษยังคงคาใจ??

สภาพป่าทังกัสกาหลังถูก ลูกไฟเผาอย่างลึกลับซึ่งคณะสำรวจของกูลิกบันทึกไว้หลังเดินทางเข้าไปสำรวจ 19 ปีหลังจากเกิดเหตุ (ภาพจากไซน์เดลี)

ผ่านไป 100 ปี เหตุการณ์อุกกาบาตถล่มป่า “ทังกัสกา” ยังคงเป็นปริศนา และมีคำถามที่คาใจว่าวัตถุที่มีอานุภาพทำลายล้างรุนแรงนี้คืออะไร บ้างก็ตั้งคำถามวัตถุลึกลับดังกล่าวมาจากนอกโลกจริง หรือเป็นวัตถุที่ในโลกของเราเอง ขณะที่นักวิทย์อีกกลุ่มพบทะเลสาบที่เกิดขึ้นหลังเหตุอุกกาบาตถล่มโลก เตรียมสำรวจหาความเชื่อมโยงปีหน้า

ย้อนกลับไป 100 ปีก่อน เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.2451 เกิดเหตุระเบิดขึ้นใกล้กับแม่น้ำพอดกาเมนนายา ทังกัสกา (Podkamennaya Tunguska River) ด้วยความรุนแรงที่สเปซดอตคอมระบุว่า เทียบเท่าระเบิดทีเอ็นที 10-20 เมกะตัน เรียกได้ว่ารุนแรงกว่าระเบิดปรมาณูที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาของญี่ปุ่นกว่า 1,000 เท่าเลยทีเดียว และสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่โดยรอบ 2,150 ตารางกิโลเมตร

ตามรายงานของเอเอฟพี และสเปซเดลี ยังระบุอีกว่า อุกกาบาต มหาภัยนี้เผาผลาญต้นไม้ในป่าแถบไซบีเรียไป 80 ล้านต้น อีกทั้งยังทำให้เกิดความรุนแรงเทียบเท่าแผ่นดินไหว 5 ริกเตอร์ ซึ่งรับรู้ได้ไกลถึงประเทศอังกฤษเลยทีเดียว และเนื่องจากการหมุนของโลก หากอุกกาบาตนี้ตกช้าไป 4 ชั่วโมง 47 นาที จะทำให้เซนต์ปีเตอร์เบิร์ก อดีตเมืองหลวงของรัสเซียตกเป็นเป้านิ่งและถูกทำลายอย่างย่อยยับทันที

เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับการขนานนามตามชื่อแม่น้ำซึ่งอยู่ใกล้สถานที่ เกิดเหตุ ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก แต่สถานการณ์การเมืองโลกตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 การปฏิวัติรัสเซียไปจนถึงสงครามกลางเมืองต่างๆ ก็ได้เบียดบังความสนใจชาวโลกให้ลืมมันไปเกือบ 20 ปีเลยทีเดียว

อ่านต่อ

คนที่ฉลาดที่สุดในโลก

คนนี้เป็นคนที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักวิทยาศาตร์ที่เก่งที่สุดในโลกต่อจาก ไอซ์สไต เลยทีเดียว
เขาชื่อ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง

"ฮอว์กิง" พลิกแนวคิดเรื่อง "หลุมดำ" ที่เชื่อมากว่า 30 ปี

สตีเฟน ฮอว์กิง นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เจ้าของทฤษฎีหลุมดำที่มีผู้เชื่อถือมากที่สุดในตอนนี้ กลับออกมาเผยข้อค้นพบใหม่ว่าตัวเขาคิดผิด
เอพี/รอยเตอร์ - " สตีเฟน ฮอว์กิง" เจ้าของทฤษฎี "หลุมดำ" ยอมรับสิ่งที่คิดมาตลอด 30 ปีเกี่ยวกับ“หลุมดำ” นั้นผิด หลังพบว่ามีบางอย่างสามารถเล็ดลอดออกมาได้แทนที่จะหายสูญเหมือนอย่างที่เคย ยืนยันมาตลอด ดังนั้นช่องทางย้อนอดีตของดาว และการทำนายอนาคตของจักรวาลจึงสว่างขึ้น

สตีเฟน ฮอว์กิง นักคณิตศาสตร์และนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เจ้าของผลงาน “ประวัติย่อของกาลเวลา” หรือ “A Brief History of Time” หนังสืออธิบายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ว่าด้วยความเป็นไปของกาลเวลาและอวกาศ พร้อมทั้งภาวการณ์ทางฟิสิกส์ของ "หลุมดำ" ที่เชื่อถือกันมากที่สุดในโลกเวลานี้ เปิดเผยว่า ทั้งเขาและนักวิทยาศาสตร์อื่นๆ ต่างคิดผิดในเรื่องของหลุมดำ เพราะแท้ที่จริงแล้วหลุมดำได้อนุญาตให้ข้อมูลผ่านไปได้

“ผมได้คิดถึงปัญหานี้มากว่า 30 ปี และตอนนี้ก็สามารถหาคำตอบให้ได้แล้ว” ฮอว์กิงเปิดเผยเป็นครั้งแรกผ่านรายการนิวส์ไนท์ของสถานีโทรทัศน์บีบีซี เมื่อค่ำวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า “หลุม ดำสามารถปรากฏตัวเป็นรูปร่าง แต่ต่อมาก็จะเปิดเผยและปลดปล่อยข้อมูลออกมาว่ามีอะไรตกไปข้างในบ้าง นั่นจะทำให้เรามั่นใจได้ว่าอดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร อีกทั้งยังสามารถทำนายอนาคตได้อีกด้วย”

ภาพจำลองหลุมดำที่ดูดทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเข้าไป และตามความคิดเดิมของฮอว์กิงคือไม่ยอมให้อะไรผ่านออกมาได้แม้แต่แสง
“หลุมดำ” หรือ Black Hole อาจเปรียบเสมือนดาวฤกษ์ที่ตายแล้ว ดาวที่จะกลายเป็นหลุมดำนั้นคือ ดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นก้อนก๊าซร้อนๆ ที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ โดยมีไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นองค์ประกอบหลัก พลังงานที่เราได้รับจากดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ในแกนกลางของดาวและปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ว่า นี้นอกจากจะให้แสงสว่างแล้ว ยังทำให้เกิดแรงดันมหาศาลจากภายในดาวซึ่งจะทำหน้าที่พยุงไม่ให้ดาวทั้งดวง เกิดการยุบตัวลง

ทั้งนี้ เมื่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่มีอยู่ถูกเผาใหม้หมดไปดาวจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ที่เรียกว่า "ซุปเปอร์โนวา" (Supernova) ผิวนอกของดาวจะระเบิดตัวกระจายอยู่รอบๆ ส่วนแกนกลางของดาวจะยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว การยุบตัวนี้จะทำให้ดาวกลายสภาพเป็นหลุมดำได้ก็ต่อเมื่อดาวมีมวลมากขึ้นไป อีกเกินกว่าขีดจำกัด จนทำให้ดาวยุบตัวเองจนกลายเป็นจุดที่มีความหนาแน่นเป็นอนันต์ และเมื่อนั้นก็จะเกิดหลุมดำ ดาวดวงนั้นก็จะหายวับไปจากอวกาศ

เดิมทีนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าหลุมดำจะดูดทุกสรรพสิ่งเข้าไปโดยไม่ปลดปล่อยสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่แสง อันเนื่องจากฮอว์กิงได้ปฏิวัติความคิดเรื่องการเกิดหลุมดำเมื่อปี 1976 ด้วยการแสดงผลการศึกษาที่ชี้ชัดว่า ด้วยทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมว่า ทันทีที่หลุมดำก่อตัวขึ้นก็จะเริ่มปลดปล่อยพลังงานและมวลสารทั้งหลายออกมา ด้วยการ "ระเหิด" ฟุ้งกระจายไปทั่ว ฮอว์กิงสรุปไว้ในตอนนั้นว่า พลังงานและสสารที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะไม่มี "ข้อมูล" ที่อาจบ่งชี้ถึงการเกิดและดับสูญของดวงดาวได้

“หลายๆ ต่อหลายคนก็ยังเชื่อว่ามีข้อมูลบางอย่างหลุดรอดออกมาจากหลุมดำได้ แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะออกมาได้อย่างไร” ฮอว์กิงกล่าว ก่อนที่จะประกาศ ว่าเขาสามารถไขปริศนาข้อนี้ได้แล้ว และเตรียมนำเสนอรายละเอียดเพื่ออธิบายเรื่องนี้ในที่ประชุมนานาชาติว่าด้วย ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปและแรงโน้มถ่วง ในวันที่ 21 ก.ค. ณ กรุงดับลิน ประเทศไอร์แลนด์

อย่างไรก็ดี เมื่อฮอว์กิงพิสูจน์ความเป็นจริงข้อนี้ได้ ก็จะทำให้แนวความคิดเดิมของเขาผิดพลาดโดยสิ้นเชิง และจะทำให้คิป ธอร์น นักทฤษฎีฟิสิกส์จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย ที่สนับสนุนทฤษฎีของฮอว์กิง แพ้เดิมพันจอห์น เพรสกิลล์ เพื่อนนักฟิสิกส์ร่วมสถาบันที่ค้านทฤษฎีนี้ นอกจากนั้นยังเป็นการเปิดทางไปสู่การไขปริศนาสำคัญเรื่องการเกิดและทำนายการ แตกดับของจักรวาลได้อีกด้วย

สตีเฟน ฮอว์กิง นักคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ปัจจุบันอายุ 62 ปี ได้รับการยกย่องในวงการวิทยาศาสตร์ว่า เป็นนักทฤษฎีฟิสิกส์ที่ปราดเปรื่องที่สุดนับตั้งแต่ยุคของไอน์สไตน์ โดยใช้ชีวิตช่วง 30 ปีหลังศึกษาเกี่ยวกับหลุมดำโดยเฉพาะ เพื่อไขปริศนาของจักรวาล โดยได้เขียนหนังสือด้านวิทยาศาสตร์หลายเล่ม ซึ่งนอกจากเรื่อง “ประวัติย่อของกาลเวลา” จะเป็นเพชรน้ำเอกในวงการฟิสิกส์แล้ว เขายังมีหนังสือเด็ดอีก 2 เล่มนั่นก็คือ “Black Hole and Baby Universe” และ “จักรวาลในเปลือกนัท” (The Universe in a Nutshell)