Custom Search

ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

โพสอันนี้ ขอยืมบทความหน่อยนะครับ (ยืมเขามาว่างั้นเถอะ)
เคยรู้สึกไหมว่าตัวเองมีสมาธิและความจำสั้น “เอ๊ะ! เราแก่ขึ้นหรือทำงานหนักไปหรือเปล่า” หลายคนแอบสงสัย จริงๆ ความวิตกกังวลและความเครียดจากการทำงานก็เป็นสาเหตุส่วนหนึ่ง แต่แพรวสุดสัปดาห์มีเคล็ดลับดีๆ มาบอก

ถ้าไม่อยากเป็นปลาทอง ลองกินอาหารบำรุงสมองตามคำแนะนำของเอกซ์เพิร์ท

PROFILE : เชฟชุมพล แจ้งไพร

* Executive Chef ร้านอาหารและโรงเรียนสอนทำอาหารบลู เอเลเฟ่นท์ (Blue Elephant Cooking School and Restaurant) สาขาประเทศไทย และ Cooperate Chef ของบลู เอเลเฟ่นท์ทุกสาขาทั่วโลก (จำนวน 13 สาขา)
* เลขาธิการสมาคมพ่อครัวไทย และที่ปรึกษากิติมาศักดิ์ สมาคมภัตตาคารไทย
* สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ ชนะเลิศเรื่องอาหารไทย จากรายการแฟนพันธุ์แท้
* เจ้าของรางวัล The Best Young Chef in BANGKOK of Traditional and Innovation โดย CONDE NEST Magazine (USA)
* พิธีกรายการ Cooking Society ทาง H+ Channel


Chef's Recommend

“ หากต้องการเพิ่มพลังงานให้สมอง สิ่งสำคัญคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 3 มื้อ รวมถึงของว่างระหว่างวัน ที่สำคัญอย่างดอาหารเช้าเด็ดขาด เพราะอาหารเช้าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถช่วยให้เราทำงานผิดพลาดน้อยลงและมีความจำดีขึ้น การกินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าและลดความเครียดได้

เมนูแนะนำคือ ไข่ดาวน้ำที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 กับขนมปังธัญพืชปิ้ง 1 แผ่น ตามด้วยน้ำส้มคั้นสด 1 แก้ว แค่นี้สมองก็จะปลอดโปร่ง และทำงานได้คล่องแคล่วขึ้น

“ ช่วงครึ่งวันเช้าเหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้ความคิดและสมาธิสูง เพราะร่างกายยังสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ช่วยให้คิดอะไรใหม่ๆ ได้ไวและทำงานเสร็จเร็ว สำหรับอาหารกลางวัน แนะนำเมนูสลัดไก่ย่างโรยด้วยเมล็ดธัญพืชราดน้ำมันมะกอกและแต่งหน้าด้วยมะนาว เพราะเนื้อไก่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนจะช่วยการทำงานของระบบประสาท ขณะที่เมล็ดพืชต่างๆ ก็อุดมไปด้วยไขมันจำเป็นที่ช่วยให้ความคิดลื่นไหล

“ นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าคนเราจะทำงานได้ดีในช่วงเช้าและหลัง 5 โมงเย็น แต่พอช่วงบ่ายคนเราจะเริ่มรู้สึกล้าคิดอะไรได้ช้าลง เหมาะกับทำงานที่ไม่ต้องใช้ความคิดริเริ่มเท่าไหร่ ถ้าง่วงอาจหาอาหารว่างที่ไม่มีรสหวาน หรือเลือกอาหารว่างที่ทำให้สมองแล่น จำพวกเมล็ดธัญพืชและผลเบอร์รี่ที่มีวิตามินและคุณค่าทางอาหารสูง เมนูแนะนำคือ โยเกิร์ตไขมันต่ำถ้วยเล็กๆ 1 ถ้วย เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน 1 ช้อนชา

สำหรับคนที่ทำงานรอบดึกแนะนำเมนูอาหารเย็นเป็นข้าว ซ้อมมือกับปลาแซลมอนย่างและผักนึ่ง หรือผัดเต้าหู้กับข้าวซ้อมมือน้ำมันปลา โดยเฉพาะในน้ำมันปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 อยู่มาก สุดท้ายอย่าลืมเพิ่มคุณค่าวิตามินด้วยการรับประทานผัก และคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าวซ้อมมือ ”


DO & DON'T

* กินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา เหมาะกับผู้ที่ต้องนั่งโต๊ะนานๆ เพราะในข้าวกล้องมีวิตามินบีและอีสูง จึงช่วยเพิ่มพลังสมองในการทำงาน แถมป้องกันโรค
สมองเสื่อมในอนาคตได้ด้วย...ว้าว

* วิตามินบีหรือที่เรียกว่า “สารให้ความกระปรี้เปร่า” มีอยู่ในข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท จมูกข้าว ถั่ว เมล็ดทานตะวัน นม กล้วย ส้ม เป็นต้น

* วิตามินซีที่อยู่ในผักและผลไม้ เช่น ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ น้ำส้มคั้น มะละกอ บร็อคโคลี กะหล่ำปลี ถั่วงอก ฯลฯ มีส่วนสำคัญในการสร้างฮอร์โมนระงับความเครียดได้

* น้ำมันปลา Omega-3 ในเนื้อปลาแซลมอน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ไขข้ออักเสบ ช่วยลดอาการปวดรอบเดือนและระงับอาการซึมเศร้าเบื่อหน่ายจากการทำงานได้ด้วย

* ผักใบเขียวอย่างตำลึง คะน้า เป็นอาหารกลุ่มโครินที่มีวิตามินบี ซึ่งช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

* ดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวันจะทำให้ร่างกายสดชื่น สมองแจ่มใส ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย และตะคริว ทั้งยังช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสได้แม้อยู่ในห้องแอร์

* แนะนำให้ดื่มน้ำกระเจี๊ยบหรือน้ำมะนาวในช่วงบ่ายที่กำลังง่วง เพราะมีทั้งรสเปรี้ยวและหวาน มีวิตามินซีสูง แถมมีธาตุเหล็กอีกด้วย สำหรับน้ำใบบัวบก จริงๆ แล้วเป็นยาบำรุงแก้อ่อนเพลีย ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เสริมสร้างความจำและช่วยให้สมองทำงานได้ดี

* ทานของหวานหลังอาหารกลางวันช่วยเพิ่มความรู้สึกสดชื่นได้ยาวนานขึ้น การทานรสเปรี้ยวและหวานช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นในร่างกาย ถ้าตอนบ่ายง่วงอาจกินผลไม้รสเปรี้ยว อย่างมะม่วงหรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นได้

* ถ้าทำงานที่ต้องใช้สายตานานๆ ต้องมีถั่วติดโต๊ะไว้ เพราะถั่วมีวิตามินบี2 บำรุงสายตาได้ดี

* ผู้หญิงช่วงมีรอบเดือน ร่างกายจะขาดธาตุเหล็ก จนทำให้เหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ แนะนำให้ทานวิตามินซีควบคู่ไปกับการรับประทานเหล็ก จะเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

* ชาเขียวช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและช่วยให้สิ่งแวดล้อมรอบตัวสะอาดปลอดโปร่ง ขึ้น เพราะถุงชาช่วยลดมลพิษภายในอาคาร ซึ่งเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุมาจากการแพ้อากาศภายในอาคาร เช่น โรคภูมิแพ้ ผืนแดงตามร่างกาย เป็นต้น

* ไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดในมื้อเช้า เพราะตื่นเช้าขึ้นมาร่างกายยังอ่อนแอปรับตัวไม่ทัน ยิ่งถ้าตอนเช้าคุณมีประชุมด้วยละก็อาจเดือดร้อนเพราะท้องเดินได้

* จริงๆ แล้ว ผู้ที่ไม่มีเวลารับประทานอาหารเช้าหรือติดดื่มกาแฟ ควรดื่มน้ำผลไม้ 1 แก้ว แล้วค่อยดื่มกาแฟตาม เพราะการดื่มกาแฟโดยที่ไม่มีอะไรรองท้องจะช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้ ไม่นาน หลังจากนั้นจะกลับมาง่วงเหมือนเดิม และไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 3 แก้วต่อวัน และอย่าลืมว่าครีมกับน้ำตาลทำให้อ้วนได้

* ทางที่ดีหลีกเลี่ยงชาและกาแฟ โดยเฉพาะในช่วงเย็นถึงกลางคืน เพราะอาจทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ ส่งผลให้สมองพักผ่อนไม่เพียงพอ ผู้ที่ดื่มชา กาแฟ และสุรา เป็นประจำจะทำให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยกว่าที่ควร

* สำหรับมื้อเที่ยงควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มและมันจัด เพราะอาหารที่มีไขมันเยอะจะเกิดการสะสม ส่งผลให้ร่างกายเคลื่อนไหวช้า และก่อให้เกิดอาการหดหู่ ขาดความคล่องตัว

* เป็นความเชื่อผิดๆ ที่ว่ากินข้าวเหนียวจะทำให้ง่วง ในความเป็นจริง ข้าวเหนียวย่อยยากและใช้พลังงานสูงในการย่อย จนทำให้ร่างกายอ่อนเพลียหลังจากกินไปสักพักต่างหาก


ขอบคุณข้อมูล : แพรวสุดสัปดาห์

0 ความคิดเห็น: